คลังบทความของบล็อก
วันอังคารที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2553
กรุงรัตนโกสินทร์

กรุงรัตนโกสินทร์ * หรือ "กรุงเทพมหานคร" เป็นราชธานีของไทย ตั้งอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา ตรงข้ามกับที่ตั้งของกรุงธนบุรี โดยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ เมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาพระนครขึ้น โดยทำพิธีตั้งเสาหลักเมืองของพระนครใหม่ เมื่อวันอาทิตย์ เดือน 6 ขึ้น 10 ค่ำ เวลาย่ำรุ่งแล้ว 45 นาที ตรงกับวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2325
ทั้งนี้ ได้พระราชทานนามของพระนครว่า "กรุงเทพมหานคร บวรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุทธยา มหาดิลกภพ นพรัตน์ราชธานีบุรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมารอวตารสถิต สักกะทัตติยะ วิษณุกรรมประสิทธิ์"แปลว่า พระนครอันกว้างใหญ่ดุจเทพนคร เป็นที่สถิตย์ของพระแก้วมรกต เป็นพระมหานครที่ไม่มีใครรบชนะ มีความงามอันมั่นคงและเจริญยิ่ง เป็นเมืองหลวงที่บริบูรณ์ไปด้วยแก้วเปราะน่ารื่นรมย์ยิ่ง พระราชนิเวศน์ใหญ่โตมากมาย เป็นวิมานของเทพผู้อวตารลงมา ซึ่งท้าวสักกเทวราชพระราชทานให้พระวิษนุกรรมลงมาเนรมิตไว้ เรียกสั้นๆ ว่า "กรุงเทพฯ" "กรุงเทพมหานคร" หรือ "กรุงรัตนโกสินทร์" ซึ่งคำว่ากรุงเทพในตอนต้นชื่อนั้น สันนิษฐานว่ามากจากชื่อหน้าของ อยุธยา ว่า กรุงเทพ ทราราวดีศรีอยุธยา (ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงแปลงสร้อยพระนามพระนครจาก "บวรรัตนโกสินทร์" เป็น "อมรรัตนโกสินทร์")
สภาพภูมิประเทศของกรุงรัตนโกสินทร์นั้น กรุงตั้งอยู่บริเวณแหลมยื่นลงไปในแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันออก มีแม่น้ำเจ้าพระยาไหลผ่านลงมาจากทางเหนือ ผ่านทางตะวันตกและใต้ก่อนที่จะมุ่งลงใต้สู่อ่าวไทย ทำให้กรุงดูคล้ายกับกรุงศรีอยุธยา รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าให้ขุดคูพระนครตั้งแต่บางลำภูไปถึงวัดเลียบ ทำให้กรุงรัตนโกสินทร์มีสภาพเป็นเกาะสองชั้น คือส่วนที่เป็นพระบรมมหาราชวังกับส่วนระหว่างคูเมืองธนบุรี(คลองคูเมืองเดิม)กับคูพระนครใหม่ ในขณะเดียวกันได้มีการสร้างพระบรมมหาราชวังแบบง่ายๆเพื่อใช้ประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พอประกอบพิธีแล้วจึงรื้อของเก่าออกและก่ออิฐถือปูน ส่วนกำแพงพระนครนั้น นำอิฐจากกรุงศรีอยุธยามาใช้สร้าง
กรุงรัตนโกสินทร์ถือว่ามีชัยภูมิชั้นเยี่ยมในการป้องกันศึกในสมัยนั้น คือพม่า ด้วยเนื่องจากมีแม่น้ำเจ้าพระยาขวางทางตะวันตก นอกจากนี้กรุงธนบุรีเดิมก็สามารถดัดแปลงเป็นค่ายรับศึกได้ แต่เหตุการณ์ที่พม่าเข้าเหยียบชานพระนครก็ไม่เคยเกิดขึ้นสักครั้ง เป็นที่สังเกตว่า การสร้างกรุงรัตนโกสินทร์นั้นเป็นการลงหลักปักฐานของคนไทยอย่างเป็นทางการหลังกรุงแตก เพราะมีการสร้างปราสาทราชมณเฑียรอย่างงดงามต่างจากสมัยธนบุรี ทั้งๆที่ขณะนั้นเกิดสงครามกับพม่าครั้งใหญ่
กรุงรัตนโกสินทร์แล้วเสร็จจริงๆในปี พ.ศ. 2327 มีการสมโภชพระนครครั้งใหญ่ มีการลอกองค์ประกอบของกรุงศรีอยุธยามามากมาย เช่นวัดสุทัศน์แทนวัดพนัญเชิญ มีพระบรมมหาราชวังอยู่ริมน้ำ เป็นต้น แต่กรุงรัตนโกสินทร์ถูกสร้างต่อมาจนสมบูรณ์หมดจริงๆ ในช่วงรัชกาลที่ 3 และรัชกาลต่อมาจึงขยายพระนคร
การขยายพระนครนั้นเริ่มในสมัยรัชกาลที่4 เมื่อมีการขุดคลองผดุงกรุงเกษมขึ้น พร้อมสร้างป้อมแต่ไม่มีกำแพง นอกจากนี้ยังมีการตัดถนนเจริญกรุงและพระรามสี่หรือสมัยนั้นเรียกถนนตรง ทำให้ความเจริญออกไปพร้อมกับถนน สรุปได้ว่าในรัชกาลที่ 4 เมืองได้ขยายออกไปทางตะวันออก ในรัชกาลที่ 5 ความเจริญได้ตามถนนราชดำเนินไปทางเหนือพร้อมกับการสร้างพระราชวังดุสิตขึ้น กำแพงเมืองต่างๆเริ่มถูกรื้อเนื่องจากความเจริญและศึกต่างๆเริ่มไม่มีแล้ว
หลังจาก ร.ศ.112 ที่ฝรั่งเศสยกเรือรบมาถึงบางรัก ก็เป็นแค่ไม่กี่ครั้งที่ข้าศึกต่างชาติเข้าถึงชานพระนครได้ ความเจริญได้ตามไปพร้อมกับวังเจ้านายต่างๆนอกพระนคร ทุ่งต่างๆกลายเป็นเมือง และในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้เกิดสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งแรก เป็นสะพานข้ามทางรถไฟชื่อสะพานพระรามหก จนถึงรัชกาลที่ 7 ฝั่งกรุงธนบุรีกับพระนครได้ถูกเชื่อมโดยสะพานปฐมบรมราชานุสรณ์ (สะพานพุทธ)ทำให้ประชาชนเกิดความสะดวกขึ้นมามาก หลังจากนั้นเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่สองในรัชกาลที่ 8 พระนครถูกโจมตีทางอากาศจากฝ่ายสัมพันธมิตรบ่อยครั้ง แต่พระบรมมหาราชวังปลอดภัยเนื่องจากทางเสรีไทยได้ระบุพิกัดพระบรมมหาราชวังมิให้มีการยิงระเบิด เมื่อสิ้นสงครามแล้วพระนครเริ่มพัฒนาแบบไม่หยุด เกิดการรวมจังหวัดต่างๆเข้าเป็นกรุงเทพมหานคร และได้เป็นเขตปกครองพิเศษหนึ่งในสองแห่งของประเทศไทย
สภาพทางการเมืองในช่วงรัตนโกสินทร์ตอนต้น *
ยังคงรูปแบบของระบบประชาธิปไตยอันเป็นระบบการปกครองที่สืบทอดมาช้านาน การเปลี่ยนแปลงภายในตัวระบบอยู่ที่การปรับบทบาทของสถาบันกษัตริย์ ซึ่งเป็นสถาบันสูงสุดที่ทำหน้าที่ปกครองประเทศ รูปแบบของสถาบ้นกษัตริย์สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น คลายความเป็นเทวราชาลงเป็นอย่างมาก ขณะเดียวกันก็กลับเน้นคติและรูปแบบของธรรมราชาขึ้นแทนที่ อย่างไรก็ตาม อำนาจอันล้นพ้นของพระมหากษัตริย์ก็มีอยู่แต่ในทางทฤษฎี เพราะในทางปฏิบัติ พระราชอำนาจของพระองค์กลับถูกจำกัดลงด้วยคติธรรมในการปกครอง ซึ่งอิงหลักธรรมของพุทธศาสนา คือ ทศพิธราชธรรม กับอีกประการหนึ่ง คือ การถูกแบ่งพระราชอำนาจตามการจัดระเบียบควบคุมในระบบไพร่ ซึ่งถือกันว่า พระมหากษัตริย์คือมูลนายสูงสุดที่อยู่เหนือมูลนายทั้งปวง แต่ในทางปฏิบัติพระองค์ก็มิอาจจะควบคุมดูแลไพร่พลเป็นจำนวนมากได้ทั่วถึง จึงต้องแบ่งพระราชอำนาจในการบังคับบัญชากำลังคนให้กับมูลนายในระดับรองๆ ลงมา ในลักษณะเช่นนั้น มูลนายที่ได้รับมอบหมายให้กำกับไพร่และบริหารราชการแผ่นดินต่างพระเนตรพระกรรณ จึงเป็นกลุ่มอำนาจมีอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งกลุ่มใดจะมีอำนาจเหนือกลุ่มใดก็แล้วแต่สภาพแวดล้อมของสังคมในขณะนั้นเป็นสำคัญ
การปกครองและการบริหารประเทศในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น*
กล่าวได้ว่า รูปแบบของการปกครอง ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ยังคงยึดตามแบบฉบับที่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ทรงวางระเบียบไว้ จะมีการเปลี่ยนแปลงก็เพียงเล็กน้อย เช่น ในสมัยรัชกาลที่ ๑ โปรดฯ ให้คืนเขตการปกครองในหัวเมืองภาคใต้กลับให้สมุหกลาโหมตามเดิม ส่วนสมุหนายกให้ปกครองหัวเมืองทางเหนือ ส่วนพระคลังดูแลหัวเมืองชายทะเล ในด้านระบบการบริหาร ก็ยังคงมีอัครมหาเสนาบดี ๒ ฝ่าย คือ สมุหนายกเป็นหัวหน้าฝ่ายพลเรือน ดูแลบังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ายเหนือ และสมุหกลาโหม เป็นหัวหน้าราชการฝ่ายทหาร ดูแลบังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ายใต้ ตำแหน่งรองลงมาคือ เสนาบดีจตุสดมภ์ แบ่งตามชื่อกรมที่มีอยู่คือ เวียง วัง คลังและ นา ในบรรดาเสนาทั้ง ๔ กรมนี้ เสนาบดีกรมคลังจะมีบทบาทและภาระหน้าที่มากที่สุด คือนอกจากจะบริหารการคลังของประเทศแล้ว ยังมีหน้าที่ดูแลบังคับบัญชาหัวเมืองชายทะเลตะวันออก เสนาบดีทั้งหลายมีอำนาจสั่งการภายในเขตความรับผิดชอบของตน รูปแบบที่ถือปฏิบัติก็คือ ส่งคำสั่งและรับรายงานจากเมืองในสังกัดของตน ถ้ามีเรื่องร้ายที่เกิดขึ้น เสนาบดีเจ้าสังกัดจะเป็นแม่ทัพออกไปจัดการเรื่องต่างๆ ให้เรียบร้อย มีศาลของตัวเองและสิทธิในการเก็บภาษีอากรในดินแดนสังกัดของตน รวมทั้งดูแลการลักเลขทะเบียนกำลังคนในสังกัดด้วย
การบริหารในระดับต่ำลงมา*
อาศัยรูปแบบการปกครองคนในระบบไพร่ คือ แบ่งฝ่ายงานออกเป็นกรมกองต่างๆ แต่ละกรมกอง มีอำนาจหน้าที่ในการจัดการควบคุมกำลังคนในสังกัดของตน โครงสร้างของแต่ละกรม ประกอบด้วยขุนนางข้าราชการอย่างน้อย ๓ ตำแหน่ง คือ เจ้ากรม ปลัดกรม และสมุห์บัญชี กรมมีทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก กรมใหญ่มักเป็นกรมสำคัญ เจ้ากรมมีบรรดาศักดิ์ถึงขนาดเจ้าพระยาหรือพระยา
กรมของเจ้านายที่มีความสำคัญมากที่สุด*
ได้แก่ กรมของพระมหาอุปราช ซึ่งเรียกกันว่า กรมพระราชวังบวรสถานมงคล กรมของพระองค์มีไพร่พลขึ้นสังกัดมาก กรมของเจ้านายมิได้ทำหน้าที่บริหารราชการโดยตรง ถือเป็นกรมที่ควบคุมกำลังคนเป็นสำคัญ เพราะฉะนั้น การแต่งตั้งเจ้านายขึ้นทรงกรมจึงเป็นการให้ทั้งความสำคัญ เกียรติยศ และความมั่นคงเพราะไพร่พลในครอบครองเป็นเครื่องหมายแสดงถึงอำนาจและความมั่งคั่งของมูลนายผู้เป็นเจ้าของการบริหารราชการส่วนกลาง มีพระมหากษัตริย์เป็นมูลนายระดับสูงสุด เจ้านายกับขุนนางข้าราชการผู้บังคับบัญชากรมต่างๆ ทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน ฐานะเป็นมูลนายในระดับสูง ช่วยบริหารราชการ โดยมีนายหมวด นายกอง เป็นมูลนายระดับล่างอยู่ใต้บังคับบัญชา และทำหน้าที่ควบคุมไพร่อีกต่อหนึ่ง การสั่งราชการจะผ่านลำดับชั้นของมูลนายลงมาจนถึงไพร่
สำหรับการปกครองในส่วนภูมิภาคหรือการปกครองหัวเมือง*
ขึ้นอยู่กับอัครมหาเสนาบดี ๒ ท่าน และเสนาบดีคลัง ดังได้กล่าวไว้ข้างต้น หัวเมืองแบ่งออกเป็นสองชั้นใหญ่ๆ ได้แก่ หัวเมืองชั้นในและหัวเมืองชั้นอก การแบ่งหัวเมืองยังมีอีกวิธีหนึ่ง โดยแบ่งออกเป็น ๔ ขั้น คือ เอก โท ตรี จัตวา ตามความสำคัญทางยุทธศาสตร์และราษฎร
หัวเมืองชั้นใน* เป็นหน่วยปกครองที่อยู่ใกล้เมืองหลวง มีเจ้าเมืองหรือผู้รั้ง ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าปกครองดูแล
หัวเมืองชั้นนอก* มีทั้งหัวเมืองใหญ่ หัวเมืองรอง และหัวเมืองชายแดน หัวเมืองเหล่านี้ อยู่ใต้การปกครองของเจ้าเมือง และข้าราชการในเมืองนั้นๆ
นโยบายที่ใช้ในการปกครองหัวเมืองในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น *
มีการเปลี่ยนแปลงเพื่อความกระชับยิ่งขึ้น กล่าวคือ รัชกาลที่ ๑ ได้ทรงออกพระราชกำหนดตัดทอนอำนาจเจ้าเมืองในการแต่งตั้งข้าราชการที่สำคัญๆ ทุกตำแหน่ง โดยโอนอำนาจการแต่งตั้งจากกรมเมืองในเมืองหลวง นับเป็นการขยายอำนาจของส่วนกลาง โดยอาศัยการสร้างความจงรักภักดีให้เกิดขึ้นกับเจ้านายทั้งสองฝ่าย คือ ทั้งเจ้าเมือง และข้าราชการที่แต่งตั้งตนในส่วนกลาง ตำแหน่งต่างๆ เหล่านี้ต้องรายงานตัวต่อผู้ตั้งทุกปี ทั้งนี้เพื่อผลในการควบคุมไพร่พลและเกณฑ์ไพร่มาใช้ เพราะฉะนั้น มูลนายในเมืองหลวงจึงได้ควบคุมสัสดีต่างจังหวัดอย่างใกล้ชิด
ส่วนการปกครองในประเทศราช *
เช่น ลาว เขมร มลายู นั้น ไทยใช้วิธีปกครองโดยทางอ้อม ส่วนใหญ่จะปลูกฝังความนิยมไทยลงในความรู้สึกของเจ้านายเมืองขึ้น โดยการนำเจ้านายจากประเทศราชมาอบรมเลี้ยงดูในฐานะพระราชบุตรบุญธรรมของพระมหากษัตริย์ในราชสำนักไทยหรือสนับสนุนให้มีการแต่งงานกันระหว่างเจ้านายทั้งสองฝ่าย และภายหลังก็ส่งเจ้านายพระองค์นั้นไปปกครองเมืองประเทศราช ด้วยวิธีนี้ จึงทำให้เกิดความรู้สึกผูกพันกันขึ้นระหว่างกษัตริย์ไทยกับเจ้านายเมืองขึ้น การปกครอง หรือการขยายอำนาจอิทธิพลในอาณาจักรต่างๆ เหล่านี้ ฝ่ายไทยและประเทศราชไม่มีการทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร แต่ขึ้นกับอำนาจความมั่นคงของราชอาณาจักรไทย เพราะฉะนั้น ในช่วงใดที่ประเทศอ่อนแอ เมืองขึ้นก็อาจแข็งเมืองหรือหันไปหาแหล่งอำนาจใหม่ เพราะฉะนั้น เมื่ออำนาจตะวันออกแผ่อิทธิพลเข้ามาในดินแดนเอเซียอาคเนย์ ปัญหาเรื่องอิทธิพลในเขตแดนต่างๆ จึงเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องเวลาทำความตกลงกัน
วันอังคารที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2553
การปกครองสมัยธนบุรี


อาณาจักรธนบุรี เป็นอาณาจักรของคนไทยในช่วงเวลาสั้น ๆ ระหว่าง พ.ศ. 2310 - 2325 มีพระมหากษัตริย์ปกครองเพียงพระองค์เดียว คือ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ภายหลังจากที่อาณาจักรอยุธยาล่มสลายไปพร้อมกับการปล้นกรุงศรีอยุธยาของกองทัพพม่า ทว่า ในเวลาต่อมา สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้สถาปนาตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์ และทรงย้ายเมืองหลวงไปยังฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา คือ กรุงเทพมหานครในปัจจุบัน
การกอบกู้เอกราช*
เมื่อครั้งสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีรับราชการเป็นพระยาตากในระหว่างสงครามคราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง[1] พระยาตากได้ถอนตัวจากการป้องกันพระนครพร้อมกับทหารจำนวนหนึ่งเพื่อไปตั้งตัว โดยนำทัพผ่านบ้านโพสามหาร บ้านบางดง หนองไม้ทรุง เมืองนครนายก เมืองปราจีนบุรี พัทยา สัตหีบ ระยอง โดยกลุ่มผู้สนับสนุนพระยาตากได้ยกย่องให้ให้เป็น "เจ้าชาย"[2] และตีได้เมืองจันทบุรีและตราด เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2310[3]
ในเวลาใกล้เคียงกัน ฝ่ายกองทัพพม่าได้คงกำลังควบคุมในเมืองหลวงและเมืองใกล้เคียงประมาณ 3,000 คน โดยมีสุกี้เป็นนายกอง ตั้งค่ายอยู่ที่บ้านโพธิ์สามต้น พร้อมกันนั้น พม่าได้ตั้งนายทองอินให้ไปเป็นผู้ดูแลรักษาเมืองธนบุรีไว้ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าอาณาจักรอยุธยาจะสิ้นสภาพลงไปแล้ว แต่ยังมีหัวเมืองอีกเป็นจำนวนมากที่ไม่ได้รับความเสียหายจากศึกสงคราม หัวเมืองเหล่านั้นจึงต่างพากันตั้งตนเป็นใหญ่ในเขตอิทธิพลของตน ส่วนทางด้านพระยาตากเองก็สามารถรวบรวมกำลังได้จนเทียบได้กับหนึ่งในชุมนุมทั้งหลายนั้น โดยมีจันทบุรีเป็นฐานที่มั่น
ต่อมา พระยาตากจึงนำกำลังที่รวบรวมประมาณ 5,000 คน ตีเมืองธนบุรีและอยุธยาคืนจากข้าศึก เสร็จแล้วจึงสถาปนาตนเองขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา[4] และทรงสร้างเมืองหลวงใหม่ คือ กรุงธนุบรี
การรวมชาติและการขยายตัว *
ครั้นเมื่อพระเจ้ามังระแห่งอาณาจักรพม่าทรงทราบข่าวเรื่องการกอบกู้เอกราชของไทย พระองค์จึงมีพระบรมราชโองการให้เจ้าเมืองทวายคุมกองทัพมาดูสถานการณ์ในดินแดนอาณาจักรอยุธยาเดิม เมื่อปลาย พ.ศ. 2310 แต่ก็ถูกตีแตกกลับไปโดยกองทัพธนบุรี ซึ่งสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงนำทัพมาด้วยพระองค์เอง[6]
ต่อมา สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีจึงโปรดให้จัดเตรียมกำลังเพื่อทำลายคู่แข่งทางการเมือง เพื่อให้เกิดการรวมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ ในปี พ.ศ. 2311 ทรงมุ่งไปยังเมืองพิษณุโลกเป็นแห่งแรก ทว่า กองทัพธนบุรีพ่ายต่อกองทัพพิษณุโลก ณ ปากน้ำโพ จึงต้องเลื่อนการโจมตีออกไปก่อน แต่ภายหลังเจ้าพิษณุโลกถึงแก่พิราลัย ชุมนุมพิษณุโลกอ่อนแอลงและตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของเจ้าพระฝางแทน
สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีได้เปลี่ยนเป้าหมายไปยังชุมนุมเจ้าพิมาย เนื่องจากทรงเห็นว่าควรจะปราบชุมนุมขนาดเล็กเสียก่อน กรมหมื่นเทพพิพิธสู้ไม่ได้ ทรงจับตัวมายังกรุงธนบุรี และถูกประหารระหว่างเดือนตุลาคม-เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2311[7] เมื่อขยายอำนาจไปถึงหัวเมืองลาวแล้ว สมเด็จพะรเจ้ากรุงธนบุรีทรงพยายามใช้พระราชอำนาจของพระองค์ช่วยให้ นักองราม เป็นกษัตริย์กัมพูชา โดยพระองค์ทรงโปรดให้ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท เป็นแม่ทัพไปตีกัมพูชา แต่ไม่สำเร็จ
ในปี พ.ศ. 2312 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงมีศุภอักษรไปยังสมเด็จพระนารายณ์ราชา เจ้ากรุงเขมร โดยให้ส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายตามประเพณี แต่สมเด็จพระนารายณ์ราชาปฏิเสธ พระองค์ทรงขัดเคืองจึงให้จัดเตรียมกองกำลังไปตีเมืองเสียมราฐ และเมืองพระตะบอง อันเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่พระองค์ได้ส่งพระยาจักรีนำกองทัพไปปราบเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช เมื่อทรงทราบข่าวทัพพระยาจักรีไปติดขัดที่ไชยา จึงทรงส่งทัพหลวงไปช่วย จนตีเมืองนครศรีธรรมราชได้เมื่อเดือน 10 ฝ่ายแม่ทัพธนบุรีในเขมรไม่ได้ข่าวพระเจ้าแผ่นดินมานาน จึงเกรงว่าบ้านเมืองจะไม่สงบ รีบยกกองทัพกลับบ้านเมืองเสียก่อน และทำให้การโจมตีเขมรถูกระงับเอาไว้
ในปี พ.ศ. 2313 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีก็ทรงยกกองทัพขึ้นไปปราบชุมนุมเจ้าพระฝาง ตีได้เมืองพิษณุโลก และตามไปตีเมืองสวางคบุรี เจ้าพระฝางสู้ไม่ได้ ชุมนุมฝางจึงตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของอาณาจักรธนบุรี
การสิ้นสุด *
ช่วงปลายรัชกาล เกิดการรัฐประหารแย่งชิงบัลลังก์จากสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี[9] เจ้าพระยาจักรีทราบข่าวก็รีบกลับมายังพระนคร เมื่อสืบสวนเหตุการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้น ข้าราชการก็ฟ้องร้องว่าสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีเป็นเหตุ เนื่องจากทรงมีสติฟั่นเฟือน ในวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2325 เจ้าพระยาจักรีจึงเข้าควบคุมสถานการณ์ และสถาปนาตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี
การปกครอง *
การปกครองในสมัยกรุงธนบุรีนั้น ยืดถือแบบการแบบกรุงศรีอยุธยา โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
การปกครองส่วนกลาง *
กรุงธนบุรีเป็นศูนย์กลาง มีอัครมหาเสนาบดีตำแหน่ง " เจ้าพระยา " จำนวน 2 ท่าน ได้แก่
สมุหนายก เป็นอัครมหาเสนาบดีฝ่ายพลเรือน เป็นผู้ดูแลหัวเมืองฝ่ายเหนือ ทั้งในราชการฝ่ายทหารและพลเรือน ในฐานะเจ้าเสนาบดีกรมมหาดไทย ผู้เป็นจะมียศเป็น "เจ้าพระยาจักรีศรีองครักษ์" หรือที่เรียกว่า "ออกญาจักรี"
สมุหพระกลาโหม เป็นอัครมหาเสนาบดีฝ่ายทหาร เป็นผู้ดูแลหัวเมืองฝ่ายใต้ทั้งปวง ยศนั้นก็จะมี "เจ้าพระยามหาเสนา" หรือที่เรียกว่า "ออกญากลาโหม"
ส่วนจตุสดมภ์นั้นยังมีไว้เหมือนเดิม มีเสนาบดีตำแหน่ง " พระยา " จำนวน 4 ท่าน ได้แก่
กรมเวียง หรือ นครบาล มีพระยายมราชทำหน้าที่ดูแล และ รักษาความสงบเรียบร้อยภายในพระนคร
กรมวัง หรือ ธรรมาธิกรณ์ มีพระยาธรรมาธิกรณ์ ทำหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยในเขตพระราชฐาน
กรมคลัง หรือ โกษาธิบดี มีพระยาโกษาธิบดี ทำหน้าที่ดูแลการซื้อขายสินค้า ภายหลังได้รับการแต่งตั้งให้ดูแลหัวเมืองฝ่ายตะวันออกด้วย
กรมนา หรือ เกษตราธิการ มีพระยาพลเทพ ทำหน้าที่ดูแลการเกษตรกรรม หรือ การประกอบอาชีพของประชาชน
การปกครองส่วนภูมิภาค *
หัวเมืองชั้นใน จะมีผู้รั้งเมือง เป็นผู้ปกครอง จะอยู่รอบๆไม่ไกลจากราชธานี
เมืองพระยามหานคร จะแบ่งออกได้เป็น เมืองเอก โท ตรี จัตวา มีเจ้าเมืองเป็นผู้ปกครอง
เมืองประเทศราช คือเมืองที่จะต้องส่งเครื่องราชบรรณาการมาให้กรุงธนบุรี ซึ่งในขณะนั้น จะมี นครศรีธรรมราช เชียงแสน เชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน พะเยา แพร่ น่าน ปัตตานี ไทรบุรี ตรังกานู มะริด ตะนาวศรี พุทไธมาศ พนมเปญ จำปาศักดิ์ หลวงพระบาง และ เวียงจันทน์ ฯลฯ
เศรษฐกิจ *
ในช่วงต้นรัชกาล สภาพบ้านเมืองเสียหายจากสงครามกับพม่าอย่างหนัก มีการขาดแคลนอาหารเนื่องจากขาดการทำนามานาน สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงสละทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์และท้องพระคลังเพื่อซื้อข้าวมาบรรเทาความอดอยากของผู้คนทั้งหลาย และยังเป็นการกระตุ้นให้ชาวบ้านที่หนีไปอยู่ตามป่าเขากลับมาอาศัยอยู่ในกรุงด้วย
นอกจากนี้ พระองค์ยังได้ทรงทำนุบำรุงการค้าขายทางเรือกับต่างชาติ เนื่องจากไม่อาจพึ่งรายได้จากภาษีอากรจากผู้คนที่ยังคงตั้งตัวไม่ได้ อีกทั้งการส่งเสริมการขายสินค้าพื้นเมืองยังเป็นการสร้างงานให้กับชาวบ้าน โดยพระองค์ได้ทรงพยายามผูกไมตรีกับจีนเพื่อที่จะให้เกิดประโยชน์ทางการค้ามากยิ่งขึ้น
สังคม *
สภาพสังคมไทยสมัยกรุงธนบุรี มีลักษณะคล้ายคลึงกับสมัยอยุธยา คือมีการแบ่งชนชั้นออกเป็น
1.พระมหากษัตริย์ เป็นชนชั้นสูงสุดในสังคม
2.พระบรมวงศานุวงศ์
3.ขุนนาง
4.ไพร่ เป็นชนชั้นที่มีมากที่สุดในสังคม
5.ทาส เป็นชนชั้นต่ำสุดในสังคม ถูกเอารัดเอาเปรียบจากนายเงินมาก
หลังจากบ้านเมืองแตกแยก เพราะการล่มสลายของอาณาจักรอยุธยาแล้ว เมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรีได้รวบรวมอาณาจักรเป็นปึกแผ่น พม่าจึงเล็งเห็นว่า ไม่ต้องการให้อาณาจักรสยามเจริญได้อีก จึงต้องมีการรบราญกันอยู่บ่อย การเรียกกำลังพลจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อป้องกันการหลบหนี พระเจ้ากรุงธนบุรีจึงตรากฎหมายการสักเลกขึ้น โดยไพร่ชายใดอายุถึงกำหนด ต้องสักเลก เพื่อให้สามารถตรวจสอบจำนวนคนได้ และถ้าหากมีการหลบหนีเมื่อใด อาจจะมีโทษถึงประหารชีวิต โดยพระเจ้ากรุงธนบุรีจะเป็นผู้ตัดสินคดีด้วยตัวของพระองค์เอง ส่วนชนชั้นอื่น ๆ ที่เหลือนั้นก็มีโครงสร้างที่คล้ายคลึงกับอยุธยา
วัฒนธรรม *
รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชแม้จะไม่ยาวนานนักได้ฟื้นฟูปรับปรุงบ้านเมืองในด้านวัฒนธรรมอย่างมากเช่น ด้านศาสนาได้แต่งตั้งพระสังฆราช ด้านศิลปะผลงานไม่เด่นชัด ด้านการศึกษาเด็กผู้ชายจะมีโอกาสได้เรียนเท่านั้น
วรรณกรรม
ถึงแม้ว่ากรุงธนบุรีจะดำรงอยู่เป็นเวลาอันสั้น วรรณกรรม วรรณคดีทั้งหลายถูกทำลายลง แต่ก็มีเวลาที่จะมาฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรม
สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
บทละครเรื่องรามเกียรติ์ พระราชทานเมื่อปี พ.ศ. 2313 อันเป็นปีที่ 3 ในรัชกาลพระองค์ บทละครเรื่องรามเกียรติ์ฉบับนี้มี 4 ตอน แบ่งออกเป็น 4 เล่ม
หลวงสรวิชิต (หน) หรือ เจ้าพระยาพระคลัง (หน)
หลวงสรวิชิต (หน) แต่งไว้ทั้งหมด 2 เรื่อง ในสมัยกรุงธนบุรี
ลิลิตเพชรมงกุฎ แต่งระหว่างปี พ.ศ. 2310 -2322
อิเหนาคำฉันท์ แต่งปี พ.ศ. 2322
นายสวน มหาดเล็ก
โคลงยอพระเกียรติสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี แต่งเมื่อ พ.ศ. 2314
พระยามหานุภาพ
นิราศพระยามหานุภาพไปเมืองจีน หรือ นิราศกวางตุ้ง แต่งเมื่อปี พ.ศ. 2324
วันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
การปกครองสมัยอยุธยาพร้อมแบบฝึกหัด

กรุงศรีอยุธยา เคยเป็นประเทศราชของกรุงสุโขทัยมาก่อน เมื่อสิ้นรัชสมัยของพ่อขุนรามคำแหง
มหาราชอาณาจักรสุโขทัยเริ่มเสื่อมอำนาจลง ปรากฎว่าหัวเมืองมอญซึ่งเคยเป็นเมืองขึ้นได้ก่อการกบฎ
กรุงสุโขทัยนั้นไม่สามารถปราบปรามได้ พระเจ้าอู่ทองทรงเห็นว่ากรุงสุโขทัยอ่อนอำนาจลง จึงประกาศ
อิสรภาพและทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองเสียใหม่ เพื่อให้เกิดความเหมาะสมกับสถานการณ์ด้วย
การเปลี่ยนแปลงตามแบบขอม คือ แบบเทวสมมติ
ลักษณะสำคัญของการปกครองระบบเทวสมมติ หรือเทวสิทธิ์นี้ มีข้อน่าสังเกตุอยู่ 3 ประการ คือ
1. รัฐเกิดโดยพระเจ้าบงการ
2. พระเจ้าทรงเป็นผู้แต่งตั้งผู้ปกครองรัฐ
3. ผู้ปกครองรัฐมีความรับผิดชอบต่อพระผู้เป็นเจ้าเพียงผู้เดียว
ระบบเทวสิทธิ์นี้ ถือคติการปกครองมาจากขอมและฮินดูโดยแบ่งแยกผู้ปกครองกับผู้อยู่ใต้การปกครองออกจากกัน พระมหากษัตริย์ถูกยกย่องให้เป็นสมมุติเทพเช่นพระอิศวรหรือพระนารายณ์"การปกครองแบบเทวสิทธิ์ กระทำให้ชนชั้นปกครองกลายเป็นชนชั้นหนึ่งต่างหาก มีอภิสิทธิ์เสมือนเทพเจ้าตามคติของฮินดูราษฎรกลายเป็นผู้อยู่ใต้อำนาจและผู้ถูกปกครองอย่างแท้จริง สมบูรณาญาสิทธิราชถือกำเนิดมาจากระบบนี้และเป็นที่มาของลัทธิมูลนายกับบ่าวหรือทาส และระบบศักดินา"
ในสมัยกรุงศรีอยุธยานี้ ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าได้มีการจัดระเบียบราชการบริหารส่วนภูมิภาคปลีกย่อยออกไปอีก ซึ่งได้แก่การจัดระเบียบการปกครองภายในเมืองหนึ่งๆทั้งหัวเมืองชั้นนอกและชั้นใน หรือเรียกว่า ระเบียบการปกครองท้องที่ โดยแบ่งเมืองออกเป็นแขวง แขวงแบ่งออกเป็นตำบล ตำบลแบ่งออกเป็นบ้าน ซึ่งเป็นที่รวมของหลาย ๆ ครัวเรือนแต่มิได้กำหนดจำนวนคน หรือจำนวนบ้านไว้การแบ่งเขตการปกครองตามที่กล่าวมาข้างต้นนี้แสดงให้เห็นว่าไม่มีรูปร่างผิดแปลกไปกับการปกครองสมัยปัจจุบันมาก นักกฏหมายปกครองท้องที่ตราขึ้น ในสมัยหลังได้ร่างขึ้นโดยอาศัยรูปการปกครอง ซึ่งมีอยู่แต่เดิมเป็นหลักใหญ่และได้แก้ไขดัดแปลงบ้างเล็กน้อยเท่านั้น
การปกครองระบบเทวสิทธิ์นี้ ถ้าจะพิจารณาถึงผลสะท้อนที่เกิดกับการบริหารแล้ว จะเห็นได้ว่าประเทศไทยในสมัยนั้น เมื่อมีการสถาปนาประเทศเข้าสู่เสถียรภาพ ข้อเสียของระบบเทวสิทธิ์ก็ปรากฏขึ้นเช่นชนฝ่ายปกครองหรือกษัตริย์ถูกแยกห่างออกจากฝ่ายถูกปกครองคือประชาชนมากเกินไปจนกลายเป็นชนชั้นหนึ่งอีกต่างหาก ซึ่งแตกต่างจากการปกครองระบบบิดาและบุตรมาก ประกอบกับชนชั้นปกครองระดับรองลงมา อันได้แก่ มูลนายต่าง ๆ ช่องทางการใช้อำนาจหน้าที่เกินขอบเขต เกิดการกดขี่ทารุณและคดโกงขึ้น ตำแหน่งพระมหากษัตริย์กลายเป็นตำแหน่งที่มีอำนาจและอภิสิทธิ์ยิ่งใหญ่ เป็นสิ่งพึงปรารถนาในทางโลก ผู้ใดยึดครองตำแหน่งย่อมได้มาทั้งอำนาจและอภิสิทธิ์ต่างๆ ดุจเทพเจ้า ฉะนั้นตลอดระยะเวลาอันยาวนานของการปกครองใต้ระบบเทวสิทธิ์ ได้มีการช่วงชิงอำนาจกันอยู่ตลอดเวลา จนบางครั้งทำให้เป็นมูลเหตุไปสู่ความอ่อนแอ และต้องสูญเสียเอกราชให้แก่ข้าศึกไปถึงสองครั้งสองครา ซึ่งประวัติศาสตร์ของกรุงศรีอยุธยาจะยืนยันข้อความจริงดังกล่าวได้ดี เหตุการณ์เช่นนี้มิได้มีปรากฎในสมัยสุโขทัย ซึ่งถือการปกครองระบบบิดากับบุตร เพราะตำแหน่งกษัตริย์เป็นเพียงเสมือนตำแหน่งหัวหน้าครอบครัวเท่านั้นเมื่อคนที่ได้เคยดำรงตำแหน่งหัวหน้าสิ้นไป คนใหม่ที่มีอาวุโสรองลงไปจะเข้ารับหน้าที่แทน มิได้ถือว่าเป็นตำแหน่งพิเศษเปี่ยมด้วยอภิสิทธิ์ดังระบบเทวสิทธิ์
ข้อเสีย ที่สำคัญอีกประการหนึ่งของระบบเทวสิทธ์ที่สะท้อนเป็นมรดกต่อการปกครองมาจนกระทั่งปัจจุบันคือได้สร้างสภาพจิตใจคนไทยให้มีความนิยมนับถือในตัวบุคคลมากกว่าหลักการเกินไปซึ่งเป็นสภาพจิตใจที่ขัดต่อหลักประชาธิปไตยอย่างยิ่ง ก่อให้เกิดนิสัยราษฎรเลือกผู้ปกครองของตนโดยอารมณ์ในด้านความชอบพอรักใคร่ยกย่องนับถือเป็นเรื่องสำคัญกว่าในเรื่องหลักเกณฑ์และอุดมการณ์
ในสมัยพระเจ้าอู่ทอง ทรงได้ปรับปรุงระบอบการปกครองใหม่ โดยมีพระมหากษัตริยเ์ป็นผู้อำนวยการปกครองเรียกการปกครองแบบนี้ว่า การจัดระเบียบการปกครองส่วนภูมิภาคออกเป็นราชธานีและเมืองพระยามหานครตามที่กล่าวมาแล้วจะเห็นได้ว่าราชธานีมีวงเขตแคบลงทั้งนี้ก็ด้วยมีความประสงค์ ให้หัวเมืองชั้นในติดต่อกับราชธานีได้โดยสะดวก ส่วนหัวเมืองชั้นนอกอันเป็นเมืองพระยามหานครนั้น อยู่ห่างไกลออกไปจากราชธานี เมื่อการคมนาคมยังไม่เจริญ ก็ย่อมติดต่อกับราชธานีได้โดยมากราชการบริหารส่วนกลางไม่สามารถควบคุมดูแลได้อย่างใกล้ชิด เมืองพระยามหานคร จึงเกือบไม่ขึ้นต่อราชการบริหารส่วนกลางเลย เจ้าเมืองผู้ปกครองเมืองเหล่านั้นเป็นผู้แทนพระมหากษัตริย์และได้รับการมอบหมายให้ใช้อำนาจแทนพระมหากษัตริย์ ทั้งในทางการปกครอง และในทางตุลาการ เมื่อพระมหากษัตริย์ได้ทรงแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองแล้วก็มีอำนาจที่จะปกครองเมืองได้อย่างเต็มที่ เกือบไม่ต้องขึ้นหรือคอยรับคำสั่งจากราชธานีด้วยเหตุนี้เมื่อพระมหากษัตริย์ใดทรงมีอานุภาพก็รักษาเอกภาพแห่งพระราชอาณาจักรไว้ได้อย่างเรียบร้อย แต่ถ้าพระมหากษัตริย์องค์ใดหย่อนอานุภาพลง เจ้าเมืองมักจะคิดตั้งตนเป็นอิสระทำให้ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของอาณาจักรไม่มั่นคง เหตุดังกล่าวนี้เกิดขึ้นเนื่องจากราชการส่วนกลางและราชการปกครองส่วนภูมิภาคไม่มีความสัมพันธ์กันเพียงพอ
รัชสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ซึ่งได้ทรงปรับปรุงรูปแบบการปกครองขึ้นใหม่ โดยแยกการบริหารราชการออกเป็นฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทหาร สำหรับฝ่ายพลเรือนรับผิดชอบเกี่ยวกับกิจการทางด้านเวียง วัง คลัง นา มีสมุหนายกเป็นผู้รับผิดชอบ ส่วนกิจการเกี่ยวกับทหารและการป้องกันประเทศ เช่นกรมช้าง กรมม้าและกรมทหารราบ มีสมุหกลาโหมเป็นผู้รับผิดชอบการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้ จึงมีความสำคัญยิ่งต่ออนาคตของการจัดการปกครองประเทศการปกครองได้เป็นไปในทางเสริมสร้าง
"สมบูรณาญาสิทธิราช" เต็มที่ เพราะได้พวกพราหมณ์และพวกเจ้านาย ท้าวพระยามาจากกรุงกัมพูชา ซึ่งมีความชำนาญทางการปกครองอย่างถ้วนถี่ดีกว่าที่เคยรู้มาแต่ก่อนไว้ ดังนั้นแนวความคิดเกี่ยวกับองค์พระมหากษัตริย์และสถาบันแห่งพระองค์ ก็คงจะต้องเข้มงวดกวดขันยิ่งกว่าแต่กาลก่อน คือถือว่าเป็นสมมติเทวราชเต็มรูปแบบสำหรับการปรับปรุงแก้ไขการจัดระเบียบราชการบริหารส่วนภูมิภาค อันเป็นผลของการปฏิรูปดังกล่าวนั้นก็คือได้มีการขยายเขตราชธานี และหัวเมืองชั้นในออกไปให้กว้างกว่าเดิม เพื่อที่จะได้รวมอำนาจการปกครองเข้าไว้ในส่วนกลางให้ราชการบริหารส่วนกลาง สามารถควบคุมส่วนภูมิภาคได้ดียิ่งขึ้นและจัดหัวเมืองชั้นในอยู่ในวงของราชธานีเป็นหัวเมืองชั้นจัตวา ส่วนหัวเมืองชั้นในพระมหากษัตริย์ทรงอำนวยการปกครองโดยมีเสนาบดีเป็นผู้ช่วย ฉะนั้นผู้ปกครองหัวเมืองชั้นในหรือเมืองชั้นจัตวาจึงเรียกว่า "ผู้รั้ง"ไม่ใช่เจ้าเมืองและได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งชั่วเวลา 3 ปี ส่วนกรมการอันเป็นพนักงานปกครองก็ขึ้นอยู่ในความบังคับบัญชาของเจ้ากระทรวงต่างๆ ในราชธานีนอกจากนั้นปรากฎตามกฎมนเทียรบาล และทำเนียบศักดินาหัวเมืองได้เลิกเมืองลูกหลวง 4 ด้านของราชธานีตามที่มีมาแต่ก่อน คงให้มีฐานะเป็น เพียงเมืองชั้นจัตวาอาณาเขตวงราชธานี ซึ่งได้ขยายออกไปภายหลังการปฏิรูปครั้งใหญ่นี้ ส่วนระเบียบ การปกครองเมืองภายนอก วงราชธานียังคงจัดเป็นเมืองพระยามหานครตามเดิม แต่แบ่งออกเป็นเมือง
ชั้นเอก ชั้นโท ชั้นตรีเมืองชนิดนี้ต่อมาเรียกว่า หัวเมืองชั้นนอกเพราะอยู่วงนอกราชธานีและอยู่ห่างไกลหรือเพราะอยู่หน้าด่านชายแดนแต่ละเมืองก็มีเมืองอยู่ในอาณาเขตทำนองเดียวกับวงราชธานีและบรรดา เมืองชั้นนอก สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินทรงตั้งพระราชวงศ์หรือข้าราชการชั้นสูงศักดิ์เป็นผู้สำเร็จราชการเมืองมีอำนาจบังคับบัญชาสิทธิ์ขาดอย่างเป็นผู้ต่างพระองค์ทุกอย่างและมีกรมการพนักงานปกครองทุกแผนกอย่างเช่นในราชธานีหัวเมืองต่อนั้นออกไป ซึ่งเมืองชนต่างชาติต่างภาษาอยู่ชายแดนต่อประเทศอื่น
ให้เป็นเมืองประเทศราชมีเจ้านายของชนชาตินั้นปกครองตามจารีตประเพณีของชนชาตินั้นๆ และเมืองนั้นต้องถวายต้นไม้เงินต้นไม้ทองกับเครื่องราชบรรณาการมีกำหนด 3 ปีครั้งหนึ่ง
แบบฝึกหัด
วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
การปกครองสมัยสุโขทัย

อาณาจักรสุโขทัยเมื่อแรกตั้งเป็นอาณาจักรเล็กๆสมัยที่รุ่งเรืองที่สุดคือ สมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช มีกษัตริย์ปกครองเป็นเอกราชติดต่อกันมา 6 พระองค์ อาณาจักรสุโขทัย เสื่อมลงและตกเป็นเมืองขึ้นของกรุงศรีอยุธยาเมื่อสมัยพญาไสลือไท โดยทำสงครามปราชัยแก่ พระบรมราชาที่ 1 แห่ง
กรุงศรีอยุธยาในปีพ.ศ.1921 และราชวงศ์พระร่วงยังคงปกครองในฐานะประเทศราชติดต่อ กันมาอีก
2 พระองค์ จนสิ้นราชวงศ์ ในปีพ.ศ.1981
ลักษณะการปกครองของสมัยสุโขทัย
การปกครองสมัยสุโขทัยตอนต้น (พ.ศ. 1792 - 1841)
ในช่วงต้นของการสถาปนากรุงสุโขทัยเริ่มจากสมัยพ่อขุนศรีอินทราทิตย์จนสิ้นสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช เป็นการปกครองแบบ พ่อปกครองลูก
การปกครองแบบพ่อปกครองลูกนี้ประชาชนทุกคนเสมือนหนึ่งเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน โดยมีกษัตริย์เป็นหัวหน้าครอบครัว มีอำนาจสูงสุดในการปกครอง แต่ก็มิได้ทรงใช้อำนาจสิทธิ์ขาดในการปกครองแต่เพียงพระองค์เดียว ทรงยินยอมให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการปกครองด้วย ประชาชนจึงเรียกกษัตริย์ว่าพ่อขุน เช่น พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ พ่อขุนรามคำแหง เป็นต้น การปกครองลักษณะนี้แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์กับประชาชนว่ามีความใกล้ชิดกันมาก
กษัตริย์นอกจากจะเป็นผู้ปกครองและเป็นเสมือนพ่อแล้ว ยังทรงเป็นตุลาการที่เที่ยงธรรมด้วย จากศิลาจารึกหลักที่ 1 กล่าวไว้ว่า ในสมัยพ่อขุนรามคำแหงพระองค์ทรงให้สร้างกระดิ่งแขวนไว้ที่หน้าประตูพระราชวัง เมื่อพ่อขุนทรงทราบเรื่องก็จะออกมาไต่สวนคดีความด้วยพระองค์เอง
นอกจากนั้น ในยามเกิดศึกสงครามพ่อขุนจะทรงเป็นจอมทัพของกองทัพหลวง เมืองขึ้นต่าง ๆ จะต้องเกณฑ์ทัพมาร่วมกันต่อสู้ป้องกันราชอาณาจักรและเมื่อยามบ้านเมืองสงบ พ่อขุนจะทรงออกว่าราชการและดูแลทุกข์สุขของราษฎร เช่น ในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช พระองค์จะทรงออกว่าราชการที่ป่าตาล โดยประทับบนพระแท่นมนังศิลาบาตรเป็นประจำทุกวัน ยกเว้นในวันพระและวันโกน โดยในวันดังกล่าวนี้จะทรงนิมนต์พระเถระให้มาเทศนาสั่งสอนประชาชนเป็นประจำ
การปกครองสมัยสุโขทัยตอนปลาย (พ.ศ. 1841 - 1981)
หลังจากสิ้นสมัยของพ่อขุนรามคำแหงมหาราชแล้ว กษัตริย์องค์ต่อมา คือ พญาเลอไทย และ พญางั่วนำถม ในช่วงนี้อาณาจักรสุโขทัยเริ่มระส่ำระสวยเมืองต่าง ๆ พากันแยกตัวอิสระไม่ขึ้นต่อกรุงสุโขทัย ภายในบ้านเมืองเกิดความไม่สงบเรียบร้อย มีการแย่งชิงราชสมบัติกันอยู่เนื่อง ๆ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ลักษณะการปกครองแบบพ่อปกครองลูกเริ่มเสื่อมลง
เมื่อพระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลิไทย) ทรงขึ้นครองราชย์ใน พ.ศ. 1890 พระองค์ทรงตระหนักถึงความไม่สงบเรียบร้อยดังกล่าว และทรงเห็นว่าการแก้ปัญหาการเมืองด้วยการใช้อำนาจทางทหารเพียงอย่างเดียวคงทำได้ยาก เพราะกำลังทหารของกรุงสุโขทัยในขณะนั้นไม่เข้มแข็งพอ พระองค์จึงทรงดำเนินนโยบายใหม่ด้วยการนำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนามาใช้เป็นหลักในการปกครองอาณาจักร พร้อมกับได้ขยายอำนาจทางการเมืองออกไป
การปกครองที่ใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาเป็นหลักนี้ เรียกว่า การปกครองแบบธรรมราชา กษัตริย์ผู้ปกครองอยู่ในฐานะธรรมราชาหรือพระราชาผู้ทรงธรรม ทรงปกครองบ้านเมืองด้วยหลักทศพิธราชธรรม
ลักษณะการปกครองแบ่งออก เป็น 3 ส่วน
1.) เมืองหลวง - สุโขทัย
2.) หัวเมืองชั้นใน - ทิศเหนือ เมืองศรีสัชชนาลัย(สวรรคโลก)
ทิศตะวันออก เมืองสองแคว (พิษณุโลก)
ทิศใต้ เมืองสระหลวง (พิจิตร )
ทิศตะวันตก เมืองกำแพงเพชร
3.) หัวเมืองชั้นนอก ( เมืองพระยามหานคร) ได้แก่ เมืองหล่ม เมืองเพชรบูรณ์ เมืองศรีเทพ เมืองแพรก(สรรค์บุรี) เมืองสุพรรณบุรี(อู่ทอง) เมืองราชบุรี เมืองเพชรบูรณ์ เมืองตะนาวศรี
นอกจากนี้ ยังมีเมืองประเทศราช ได้แก่
ทิศตะวันออก - เมืองน่าน เมืองเซ่า(เมืองหลวงพระบาง) เวียงจันทร์ เวียงคำ
ทิศใต้ - เมืองนครศรีธรรมราช เมืองมะละกา และเมืองยะโฮร์
ทิศตะวันตก - เมืองทะวาย เมืองเมาะตะมะ เมืองหงสาวดี
วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
ห้อง 3/1
ต่อไปนี้เราจะมาประจาน เอ้ย!!เผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคลของสมาชิกห้อง3/1 ว.ฉ. รุ่น88 โอ้เย เริ่มเลย!!
บักชัย เลขที่1 งานไม่เคยส่ง การบ้านไม่เคยทำ ปากกาไม่เคยสร้างยืมเพื่อนตลอด พูดแอ๊บแบ๊ว ผอมหร่องแหร่ง หลังเลิกเรียนชอบชวนเพื่อนไปร้านลุงวัด
โจ้ เศรษฐีของห้อง เติมตังในโทสับให้เพื่อนยืมโทร เดือนๆนึงหมดเปนพัน(55) ชอบเล่นเหมือนเด็ก ย้ายไปอยู่สระบุรีเมื่อตอนม.2 เด๋วนี้พี่แกหล่อและม่อขึ้นมากกกก 55
แบงค์ โคดเกรียนนนนน วีรกรรมมากมาย ด่าป้าเฉิ่ม ด่ายาม ด่ารองผ.อ. นั่งสมาธิกลางแดด เอาโซ่ทุบมาโนด บลาๆๆ งานเสริมทำงานอยู่ร้านหม้อใหญ่ เปิดกิจการกับโจเซฟ โหมชายชอบหยอกว่าเปนเก 55 เวลาพูดถึงแบงค์โหมชายและน้องหง่ะ จะพากันส่ายหน้า - -*
พี่นิค sexy hero มองจากข้างหลังโคดเท่ หุ่นดีมาก พอหันหน้าสาวๆต้องร้องโว้ว และยักหลังกันเปนแถวๆ 55 เปนพี่ใหญ่ของห้องวันๆไม่ทำไรแหลงแต่เรื่องไร้สาระชอบแกล้งน้องๆT T หลานครูเหงี่ยม55โคดฮา
เจมส์ วันไหนมันอารมดีก้เสือกพ้นวันไหนมันบ้าก้บ้าทั้งวัน แรกๆทำตัวหน้าถีบมากกก คำพูดติดปาก อยากโตกินเก่ย นิสัยเสือก เฮฮา มารร.สายทุกวัน ออนเอมทั้งวัน เปนที่รักของครูภาษาไทยแต่เปนที่ชังของครูคนิด 555
มาโนด (บอล) เมื่อก่อนโคดอ้วนเพื่อนๆรังเกียจ ป.จ.บ. คือบ.กเดอะมาเกต เก่งกับเรื่องเหี้ยๆ ตั้งฉายาให้เพื่อนไปทั่วชอบแซวสิ่งที่ทำให้เพื่อนเสียเซลฟ์ เช่น ดั้งโด่ง พุงล่อ กึ่งอ้วน วีนิว น้องหง่ะ น้องงา แม่ค้ามีโอ หม้อใหญ่ บลาๆ สร้างความสุขให้เพื่อนๆและสร้างสีสันในห้อง วีรกรรมมากมาย เช่น โดนขวัญรวี ทืบจนแว่นหัก รบกับน้องงา และอีกเยอะ55
ฟอง ชายที่เอือดที่สุดในห้อง ช่วงหลังๆมารร.ไม่ค่อยอาบน้ำ มาสาย หลับเกือบทุกคาบ น้ำลายยืดด้วย ถ้าสนิทจะพูดมากเป็นผู้ค้นพบสัจธรรมของความเอือด55 ความคิดดี ชอบถ่ายรูป ผู้ตั้งฉายาจานโบ
พี่โดม โคดม่อ ชอบแต๊ะอั๋ง น่ากลัวT Tลูกครูแป๊ะวันๆไม่ทำไร หน้าม่อไปทั่ว ทาแป้ง หวีผม ดูกระจก สะพายเป้บ้าทั้งวัน55เพิ่ลเยอะ ชอบแซวครู แซวเพื่อน คิ้วโคดเข้ม เวลายืนข้างๆทุกคนจะขาวขึ้นมาทันตา55เรียนพรื่อตกประวัดสาดครูวุด55
แสงเขน พี่โดมตั้งฉายาให้ว่า ดาวอังคาร บ้าบอดี้สแลมชอบเห่าหอนเฮฮา เพลงไหนที่มันไม่เคยฟังและร้องไม่เปนมันจะด่าว่า เพลงสกปรก ย้ายไปเรียนอินเดียตั้งแต่ม.2(หนีน้องบู่55)ป.จ.บ.พูดสำเนียงกลาง สูงเหมือนเปรต ยังบ้าเหมือนเดิม55
พี่นุ ความคิดจะเปนผู้ใหย่ มีป็อกสีม่วงสวยมาก(อิจฉาๆ) เฮฮา เวลารักใคจะรักจิง รักมาก เวลาเรียนพอมีชื่อตัวเองในตำราจะหัวเราะ- - อยู่กะพี่นิค พี่โดม สนิทกับครูวุด
ตุ๊บตั๊บ ลูกลุงนึก55 วันๆไม่ทำเหี้ยไรอ่านแต่การ์ตูน ลูกค้าประจำร้านลุงวัด ชอบคุยเรื่องเกม การ์ตูน ลอกได้ลอกดี ไม่เคยสนใจเรียน ชอบหวาดโหมญ เวลาอ่านการ์ตูนอย่าเข้าแค่มัน เวลาคุยพยายามออกห่างมันไว้ เด๋วฟันจะเฉาะหน้า555 แหลงมากโคด ชอบแหลงเรื่องหมา-แมวที่บ้าน ตอนม.2เคยนั่งด่าป้าเฉิ่มด้วยกัน55ในโทสับมีคลิปโป๊ได้สัก100เรื่อง
ฉมีน ลูกแม่แคท55หน้าคล้ายครูแคท ชอบอยู่กับฟอง อาจจะดูเงียบๆแต่พอสนิทมีนจะแหลงมากกกกโคดเสือก บางมุกเวลาโหมชายเล่นฉมีนเปนคนคิด เคยแซวครูว่าเป็ก ออฟ ไอซ์55 โหมญ มั่ง 55
เจน แหลงโคดเหน่อ ชอบเท่ว อยู่ด้วยจะสนุกพาเท่วทั้งวัน55
แอม ตัวเล็กๆน่ารักในกลุ่มบอกมาว่าขี้งกจิงป่ะตัวเทอ55
ทิพย์ รองฝ่ายวินัย อยู่กลุ่มน้ำหวาน ตั้งใจเรียนเวลานำโดดจะไม่ค่อยโดด ชอบหัวเราะแข่งกับเนส ลามกหนอยๆ55 ป.จ.บ. ยืดผมแร้ว55
น้ำหวาน หัวหน้าห้อง โคดขาว ติงต๋อง กลัวไม้หนีบผ้า เพิ่ลๆชอบแกล้ง55เวลาเขินหน้าโคดแดง เปนหัวหน้าที่เพื่อนๆไม่กลัว55เวลาเรียนความรู้เยอะเกินหรือไงม้ะรู้จำสลับกันโหยะ - -
หงส์ เพื่อนสนิทขวัญรวี ชอบอ่านนิยาย การ์ตูน ไม่ค่อยสุงสิงเพื่อนๆสนิทกับตุ๊บตั๊บเหนว่ากิ๊กกันด้วย555
หมิว มันบ้า หัวเราะได้ทั้งวัน เวลาเรียนโดนด่าโหยะ555 ชอบร้องเพลงอยู่เหมือนทอม55อยุ่ด้วยแล้วหนุกดี อารมดี
เกลียว แรกๆเพื่อนไม่ชอบ เทอๆอย่าอาบน้ำให้หมดน่ะ เหลือให้เรามั่ง55 ตัดผมซอยทั้งปี ผ่านทุกรอบ คำพูดติดปาก มึงๆหน้ากุพองมั้ย กุอ้วนขึ้นไม๋ ได้ยัง ตลกมั้ย บลาๆ โคดคิดมาก รั่วด้วย55
แนน ขาว น่ารัก ชอบรุ่นพี่ กับบ้านพร้อมอีฟ >>บอกทำไม55หลังๆพี่แกบ้าดงบังนั่งแหลงทั้งวัน - -*
ขวัญรวี โดดเด่นในเพลงปู -0- เคยกระทืบมาโนดจนแว่นหัก สร้างชื่อให้ห้องเรา - -* มีโลกส่วนตัวสูง น่ากลัวๆ T T
จ๋า บ้าขายหนม โคดอารมดี เฮฮา ความใฝ่ฝันขายหนมได้เบี้ย1ล้านซื้อป็อกเพ้นท์ลายหมีพูห์ ป็อกต่อพ่วง มีอิควีนส์นั่งตรงพ่วงใส่มาสคอร์ดเปนทิกเกอร์ หะใส่มาสคอร์ด พิกเล็ท จ๋าใส่มาสคอร์ด หมีพูห์ ขับเวียนรอบเมือง555
ออม ร่างดี ขาว ไอดอลคือเจ๊แฮม บ้าบ.กชีส2คนอิหง่ะ555
กุ๊ก เกิดวันเดวกะอิหง่ะ แต่คนละปี เสียงโคดแมน ชอบแกล้งหง่ะT T
ควีนส์ ฉายากึ่งอ้วน ห้อย โคดตั้งใจเรียน ชอบเล่นมุกแป้ก 555 อาด ชอบเพลงเก่าๆ บ้าเกาหลี ชอบเต้นcover ลูกลุงพันแสน55
เก๋ ฉายาสมีกอล น่องเก๋ เปนเจ้าของทะนาทิป555 ชอบกินปลาดิบ เก๋กูเกลียดเวลามึงตั้งใจเรียนว่ะ 55 เหนผช.แล้วตาลุกวาว- -*
กิฟท์ ญาน ทำหน้าบึ้งแหลงแต่เรื่องเครียดๆ55เคยรบกับขวัญระวีด้วย555
จอย แหลงแต่เรื่องผู้ชาย คิดแต่เรื่องผช. สายตาสั้นถ้าอยู่ห่างกัน1เมตร แล้วทักจอยๆจะมองไม่เหน- -*
มายด์ อารมดี แหลงทีหัวเราะที - -* เวลาเครียดชอบทำหน้าแอ๊บแบ๊ว
เหมย..ลี่ 55 โคดหมวย หัวฟู ขาว หน้ามันทั้งชาติ มึนๆเวลาเรียนชอบทำเพื่อนสับสน555
อิ๋ง ยืดผมแล้วอยู่ดีอ่ะ เด๋วนี้พี่แกสวย หน้าก้ขาว ถ้าบ่าวไหนมาจีบต้องรีบวิ่งกลับบ้านพออิ๋งหัวเราะ555หัวเราะสะใจมากก ฉายาดั้งโด่ง แม่ค้ามีโอ เคยได้รับความช่วยเหลือจากโนด ตอนสตาร์ทมีโอไม่ติดหน้าลี855
อาย บ่าวๆจีบลุยเหมด เก่งด้านติดบอร์ด ระบายสี ทำพาน เรื่องเรียนอย่าถามอาย555
ดาว ตากลมๆหนิดกะครู - -* ไม่ใช้หวีร่วมกับเพื่อน>>ทำสะอาดน่ะเมิงง55 เพื่อนๆชอบใช้แป้ง55
ฝน ปาริศา น่ารักตุ้ยนุ้ย ชอบบอกเพื่อนว่ากำลังไดเอ็ท แต่เท่าที่เห็นกินจุกจิดทั้งวัน55 เรียนเก่งมากๆ ฉลาดหนัด รั่วกัน55 ชอบร้องเพลงเสียงใสๆหัวเราะทีลั่นห้อง แบ็วๆตากลมๆ
เพิร์ล พัชรมน อยู่เก้งก้างนิ ผอมหร่องแหร่ง 55 รั่วคำพูดติดปาก พอเถอะ อย่าน่ะ ไม่น่ะ อะไรอีกว่ะนึกไม่ออก55<<อันนี้พูดเอง
ฝน พิชสี่ มืด ฟันจะเฉาะหน้าเพื่อนแร้วมึง อ่อ เจ้าตัวบอกมาว่าจะดัดฟันแล้วค่ะ55เป็นคู่เกย์กะกุ๊ก -0-
จูน หมีขาว ชอบทะเลาะกับชาวบ้านไม่มีวันไหนที่มันไม่พูดคำหยาบ - -* มองโลกแคบ (ตาตี๋55)
บิ๋ม(เจ้) บ้าเกาหลี ตั้งใจเรียน นางงามโรงเรียน ขาว หัวฟู ตรงไปตรงมาโคดๆ เวลาทำข้อสอบสังคมไม่ได้มักจะโทรถามแม่55
กิฟท์ รัชน์ มองโลกแคบ (ตาตี๋55) มาแบบมืดๆ ชอบเอาทุเรียนกวนมาให้เพื่อนกิน555
เนส แลกก่อนหัวฟู ตัวเตี้ยๆ เรียกน้ำโค้กว่าน้ำโคก หัวเราะทีลั่นห้องแข่งกับทิพย์ เอาคลิปที่ตัวเองหัวเราะมาให้เพื่อนฟังด้วย55 รั่วๆเวลาจิงจังจะทำเหมือนอิร้อง - -*
น้ำว้า ฉายาด้อกเตอร์ ชอบพูดแบบมีหลักการมือไม้ไปเวลาลุกขึ้นตอบมักจะทำเหมือนอยู่ในสภา-0 จะเครียดไปไหนครับพี่ครับ
กระถิน มาโนดบอกว่าอยู่เหมือนปอบ555 ชอบพูดเสียงดังเวลาพูดชอบผึ่งตา555
เป๊ก หัวฟูๆรั่วๆอยู่กับอีฟ>>บอกเพื่อ?55 ชอบรบกับอิโนด และตุ๊บตั๊บ- -*
น้องงา(แป้ง)ฉบัน หมี เพื่อนๆชอบแกล้ง หนัก86 โดนเดกม.2ล้อว่าพรานโก๊ะเจอหมี5555 รบกับอิโนดบ่อยๆ เวลาอยากได้อะไรจะทำตัวแอ๊บแบ๊ว ดีเกินเหตุ 55 บ้านอยู่สะพานเหล็ก ที่บ้านขายลูกเป็ด หัวเราะทีลั่นห้อง นั่งเรียนข้างน้องหง่ะ ตบ ด่า หัวเราะกันทุกวัน ชอบพาหนมมากิน ช๊อคโกแลต ตราฉบัน แซนด์วิชตราฉบัน 55 ตอนเที่ยงไม่เคยซื้อข้าวกินเอง ฝากแตงโมตลอด ขี้บ่น งอแง น่ารัก อิอิ
รุ้ง อ้ายพิณ55 แอบชอบรุ่นพี่ มือๆใส่แว่น55
แตงโม ตุ๊กกี้ มักบอกว่าตัวเองคือซอฮยอน- -* จิงๆคือโซ่หย่อน55บ้าsnsd เวลาหัวเราะเหมือนเยาะเย้ย-0-ทะเลาะกับเพื่อนในกลุ่มบ่อยๆขี้งอน ขี้น้อยใจ
แตง สุริ ขาวๆบ้านอยู่นาทวี อาศัยอยู่บุปผาอพาทเม้น555เรียนเก่ง เรียบร้อย ลามกหน่อยๆ55 เวลาเฮฮารั่วมากๆ
เม พุงล่อ ลิ้งลิงปาจิงโก๊ะ ลูกพี่ของโหมชาย เมื่อก่อนใส่แว่น หน้ามันผมแสกกลาง บ้านอยู่สอ.ป.จ.บ. ใส่คอนแทค แอ๊บแบ๊ว เล่นคอมดึก เมื่อก่อนเรียบร้อย ปจ.บ.โคดบ้า ติงต๋อง รั่ว มักจะบ่นว่าขี้ไม่ออกบ่อยๆเปลี่ยนสีเหล็กทุกเดือน(แล้วใครจะเปลียนทุก2ปีว่ะ- -*)55
หะ ฉายา น้องหง่ะ จานโบ ผู้ก่อตั้งทัพหลวง ติงต๋อง อารมดีเกินเหตุ55 ชอบชักชวนให้เพื่อนๆโดดเรียน -0-
กาว ตัวเล็กๆ น่ารัก หลานตาจ้วน55 รั่วๆขี้อาย เวลาพูดจะก้มหน้า>>หาไส้เดือนกิน55 ชอบซอยผม ถ่ายรูปขึ้น น่ารักๆ ชอบตด ชอบเรอ โหยะเรยๆ55 ไม่รู้อยู่กลุ่มหัวหน้าได้ไง อ้อร้อแต่เพื่อน55 :p แบร่ๆ
เบ้นท์ ขาวมาก ด่าเจ็บ T T เวลารั่วก้เส้นตื้นนิ555
ขวัญ อยู่เงียบๆเรียนเก่งเวลาดีใจขึ้นมาจะกรี๊ดลั่นห้อง ทำไรไม่ค่อยแคร์55
ออนซุมาด ฉายาหูด ชะม้อย ชักชวนเพื่อนๆเล่นแชร์ แหลงมากได้ทั้งวันเวลาด่าไม่ค่อยนึกถึงเพื่อน ปากไว เวลาใครด่าจะทำหน้างอ55
อีฟ เดินตลก ชอบหลับในรถสองแถว55 บ้าเก ชอบผช.มีซิกแพค เวลาหื่นจะหน้ากลัว55 เวลาด่าใครจะด่าเป็นภาษาใต้ โคดฮา รั่วมาก อย่าไปยุ่งเวลามันอ่านนิยายเก555
เฟิน เด็กใหม่ ฉายาลิงเผือก โคดขาว เด็กจีบเยอะ 55 มาที่แรกเพื่อนไม่ชอบ (กูกันๆ55) ให้เพื่อนเต็มร้อย น่ารัก รั่วๆ ชอบเม่ ฉาว55 ฮาๆบ้าๆ55
จบแร้วววว สนุกมั้ย ต่อไปทุกคนก้แยกย้ายกันไปตามชีวิดที่เลือกเดิน เลือกวิ่งก้ได้ไม่ว่ากัน555 ขอให้ทุกคนโชคดี โปรดจดจำวันเวลาดีๆที่เราอยู่ด้วยกัน ขอบคุนทุกคนมาก ทุกคนเปนเพื่อนที่ดี ทั้งทุกข์และสุขที่เคยพบเจอ ขอบคุณทุกๆสิ่งที่พาให้เราได้มาเจอกัน รักเพื่อนทุกคนมากน่ะ ^___________^
บักชัย เลขที่1 งานไม่เคยส่ง การบ้านไม่เคยทำ ปากกาไม่เคยสร้างยืมเพื่อนตลอด พูดแอ๊บแบ๊ว ผอมหร่องแหร่ง หลังเลิกเรียนชอบชวนเพื่อนไปร้านลุงวัด
โจ้ เศรษฐีของห้อง เติมตังในโทสับให้เพื่อนยืมโทร เดือนๆนึงหมดเปนพัน(55) ชอบเล่นเหมือนเด็ก ย้ายไปอยู่สระบุรีเมื่อตอนม.2 เด๋วนี้พี่แกหล่อและม่อขึ้นมากกกก 55
แบงค์ โคดเกรียนนนนน วีรกรรมมากมาย ด่าป้าเฉิ่ม ด่ายาม ด่ารองผ.อ. นั่งสมาธิกลางแดด เอาโซ่ทุบมาโนด บลาๆๆ งานเสริมทำงานอยู่ร้านหม้อใหญ่ เปิดกิจการกับโจเซฟ โหมชายชอบหยอกว่าเปนเก 55 เวลาพูดถึงแบงค์โหมชายและน้องหง่ะ จะพากันส่ายหน้า - -*
พี่นิค sexy hero มองจากข้างหลังโคดเท่ หุ่นดีมาก พอหันหน้าสาวๆต้องร้องโว้ว และยักหลังกันเปนแถวๆ 55 เปนพี่ใหญ่ของห้องวันๆไม่ทำไรแหลงแต่เรื่องไร้สาระชอบแกล้งน้องๆT T หลานครูเหงี่ยม55โคดฮา
เจมส์ วันไหนมันอารมดีก้เสือกพ้นวันไหนมันบ้าก้บ้าทั้งวัน แรกๆทำตัวหน้าถีบมากกก คำพูดติดปาก อยากโตกินเก่ย นิสัยเสือก เฮฮา มารร.สายทุกวัน ออนเอมทั้งวัน เปนที่รักของครูภาษาไทยแต่เปนที่ชังของครูคนิด 555
มาโนด (บอล) เมื่อก่อนโคดอ้วนเพื่อนๆรังเกียจ ป.จ.บ. คือบ.กเดอะมาเกต เก่งกับเรื่องเหี้ยๆ ตั้งฉายาให้เพื่อนไปทั่วชอบแซวสิ่งที่ทำให้เพื่อนเสียเซลฟ์ เช่น ดั้งโด่ง พุงล่อ กึ่งอ้วน วีนิว น้องหง่ะ น้องงา แม่ค้ามีโอ หม้อใหญ่ บลาๆ สร้างความสุขให้เพื่อนๆและสร้างสีสันในห้อง วีรกรรมมากมาย เช่น โดนขวัญรวี ทืบจนแว่นหัก รบกับน้องงา และอีกเยอะ55
ฟอง ชายที่เอือดที่สุดในห้อง ช่วงหลังๆมารร.ไม่ค่อยอาบน้ำ มาสาย หลับเกือบทุกคาบ น้ำลายยืดด้วย ถ้าสนิทจะพูดมากเป็นผู้ค้นพบสัจธรรมของความเอือด55 ความคิดดี ชอบถ่ายรูป ผู้ตั้งฉายาจานโบ
พี่โดม โคดม่อ ชอบแต๊ะอั๋ง น่ากลัวT Tลูกครูแป๊ะวันๆไม่ทำไร หน้าม่อไปทั่ว ทาแป้ง หวีผม ดูกระจก สะพายเป้บ้าทั้งวัน55เพิ่ลเยอะ ชอบแซวครู แซวเพื่อน คิ้วโคดเข้ม เวลายืนข้างๆทุกคนจะขาวขึ้นมาทันตา55เรียนพรื่อตกประวัดสาดครูวุด55
แสงเขน พี่โดมตั้งฉายาให้ว่า ดาวอังคาร บ้าบอดี้สแลมชอบเห่าหอนเฮฮา เพลงไหนที่มันไม่เคยฟังและร้องไม่เปนมันจะด่าว่า เพลงสกปรก ย้ายไปเรียนอินเดียตั้งแต่ม.2(หนีน้องบู่55)ป.จ.บ.พูดสำเนียงกลาง สูงเหมือนเปรต ยังบ้าเหมือนเดิม55
พี่นุ ความคิดจะเปนผู้ใหย่ มีป็อกสีม่วงสวยมาก(อิจฉาๆ) เฮฮา เวลารักใคจะรักจิง รักมาก เวลาเรียนพอมีชื่อตัวเองในตำราจะหัวเราะ- - อยู่กะพี่นิค พี่โดม สนิทกับครูวุด
ตุ๊บตั๊บ ลูกลุงนึก55 วันๆไม่ทำเหี้ยไรอ่านแต่การ์ตูน ลูกค้าประจำร้านลุงวัด ชอบคุยเรื่องเกม การ์ตูน ลอกได้ลอกดี ไม่เคยสนใจเรียน ชอบหวาดโหมญ เวลาอ่านการ์ตูนอย่าเข้าแค่มัน เวลาคุยพยายามออกห่างมันไว้ เด๋วฟันจะเฉาะหน้า555 แหลงมากโคด ชอบแหลงเรื่องหมา-แมวที่บ้าน ตอนม.2เคยนั่งด่าป้าเฉิ่มด้วยกัน55ในโทสับมีคลิปโป๊ได้สัก100เรื่อง
ฉมีน ลูกแม่แคท55หน้าคล้ายครูแคท ชอบอยู่กับฟอง อาจจะดูเงียบๆแต่พอสนิทมีนจะแหลงมากกกกโคดเสือก บางมุกเวลาโหมชายเล่นฉมีนเปนคนคิด เคยแซวครูว่าเป็ก ออฟ ไอซ์55 โหมญ มั่ง 55
เจน แหลงโคดเหน่อ ชอบเท่ว อยู่ด้วยจะสนุกพาเท่วทั้งวัน55
แอม ตัวเล็กๆน่ารักในกลุ่มบอกมาว่าขี้งกจิงป่ะตัวเทอ55
ทิพย์ รองฝ่ายวินัย อยู่กลุ่มน้ำหวาน ตั้งใจเรียนเวลานำโดดจะไม่ค่อยโดด ชอบหัวเราะแข่งกับเนส ลามกหนอยๆ55 ป.จ.บ. ยืดผมแร้ว55
น้ำหวาน หัวหน้าห้อง โคดขาว ติงต๋อง กลัวไม้หนีบผ้า เพิ่ลๆชอบแกล้ง55เวลาเขินหน้าโคดแดง เปนหัวหน้าที่เพื่อนๆไม่กลัว55เวลาเรียนความรู้เยอะเกินหรือไงม้ะรู้จำสลับกันโหยะ - -
หงส์ เพื่อนสนิทขวัญรวี ชอบอ่านนิยาย การ์ตูน ไม่ค่อยสุงสิงเพื่อนๆสนิทกับตุ๊บตั๊บเหนว่ากิ๊กกันด้วย555
หมิว มันบ้า หัวเราะได้ทั้งวัน เวลาเรียนโดนด่าโหยะ555 ชอบร้องเพลงอยู่เหมือนทอม55อยุ่ด้วยแล้วหนุกดี อารมดี
เกลียว แรกๆเพื่อนไม่ชอบ เทอๆอย่าอาบน้ำให้หมดน่ะ เหลือให้เรามั่ง55 ตัดผมซอยทั้งปี ผ่านทุกรอบ คำพูดติดปาก มึงๆหน้ากุพองมั้ย กุอ้วนขึ้นไม๋ ได้ยัง ตลกมั้ย บลาๆ โคดคิดมาก รั่วด้วย55
แนน ขาว น่ารัก ชอบรุ่นพี่ กับบ้านพร้อมอีฟ >>บอกทำไม55หลังๆพี่แกบ้าดงบังนั่งแหลงทั้งวัน - -*
ขวัญรวี โดดเด่นในเพลงปู -0- เคยกระทืบมาโนดจนแว่นหัก สร้างชื่อให้ห้องเรา - -* มีโลกส่วนตัวสูง น่ากลัวๆ T T
จ๋า บ้าขายหนม โคดอารมดี เฮฮา ความใฝ่ฝันขายหนมได้เบี้ย1ล้านซื้อป็อกเพ้นท์ลายหมีพูห์ ป็อกต่อพ่วง มีอิควีนส์นั่งตรงพ่วงใส่มาสคอร์ดเปนทิกเกอร์ หะใส่มาสคอร์ด พิกเล็ท จ๋าใส่มาสคอร์ด หมีพูห์ ขับเวียนรอบเมือง555
ออม ร่างดี ขาว ไอดอลคือเจ๊แฮม บ้าบ.กชีส2คนอิหง่ะ555
กุ๊ก เกิดวันเดวกะอิหง่ะ แต่คนละปี เสียงโคดแมน ชอบแกล้งหง่ะT T
ควีนส์ ฉายากึ่งอ้วน ห้อย โคดตั้งใจเรียน ชอบเล่นมุกแป้ก 555 อาด ชอบเพลงเก่าๆ บ้าเกาหลี ชอบเต้นcover ลูกลุงพันแสน55
เก๋ ฉายาสมีกอล น่องเก๋ เปนเจ้าของทะนาทิป555 ชอบกินปลาดิบ เก๋กูเกลียดเวลามึงตั้งใจเรียนว่ะ 55 เหนผช.แล้วตาลุกวาว- -*
กิฟท์ ญาน ทำหน้าบึ้งแหลงแต่เรื่องเครียดๆ55เคยรบกับขวัญระวีด้วย555
จอย แหลงแต่เรื่องผู้ชาย คิดแต่เรื่องผช. สายตาสั้นถ้าอยู่ห่างกัน1เมตร แล้วทักจอยๆจะมองไม่เหน- -*
มายด์ อารมดี แหลงทีหัวเราะที - -* เวลาเครียดชอบทำหน้าแอ๊บแบ๊ว
เหมย..ลี่ 55 โคดหมวย หัวฟู ขาว หน้ามันทั้งชาติ มึนๆเวลาเรียนชอบทำเพื่อนสับสน555
อิ๋ง ยืดผมแล้วอยู่ดีอ่ะ เด๋วนี้พี่แกสวย หน้าก้ขาว ถ้าบ่าวไหนมาจีบต้องรีบวิ่งกลับบ้านพออิ๋งหัวเราะ555หัวเราะสะใจมากก ฉายาดั้งโด่ง แม่ค้ามีโอ เคยได้รับความช่วยเหลือจากโนด ตอนสตาร์ทมีโอไม่ติดหน้าลี855
อาย บ่าวๆจีบลุยเหมด เก่งด้านติดบอร์ด ระบายสี ทำพาน เรื่องเรียนอย่าถามอาย555
ดาว ตากลมๆหนิดกะครู - -* ไม่ใช้หวีร่วมกับเพื่อน>>ทำสะอาดน่ะเมิงง55 เพื่อนๆชอบใช้แป้ง55
ฝน ปาริศา น่ารักตุ้ยนุ้ย ชอบบอกเพื่อนว่ากำลังไดเอ็ท แต่เท่าที่เห็นกินจุกจิดทั้งวัน55 เรียนเก่งมากๆ ฉลาดหนัด รั่วกัน55 ชอบร้องเพลงเสียงใสๆหัวเราะทีลั่นห้อง แบ็วๆตากลมๆ
เพิร์ล พัชรมน อยู่เก้งก้างนิ ผอมหร่องแหร่ง 55 รั่วคำพูดติดปาก พอเถอะ อย่าน่ะ ไม่น่ะ อะไรอีกว่ะนึกไม่ออก55<<อันนี้พูดเอง
ฝน พิชสี่ มืด ฟันจะเฉาะหน้าเพื่อนแร้วมึง อ่อ เจ้าตัวบอกมาว่าจะดัดฟันแล้วค่ะ55เป็นคู่เกย์กะกุ๊ก -0-
จูน หมีขาว ชอบทะเลาะกับชาวบ้านไม่มีวันไหนที่มันไม่พูดคำหยาบ - -* มองโลกแคบ (ตาตี๋55)
บิ๋ม(เจ้) บ้าเกาหลี ตั้งใจเรียน นางงามโรงเรียน ขาว หัวฟู ตรงไปตรงมาโคดๆ เวลาทำข้อสอบสังคมไม่ได้มักจะโทรถามแม่55
กิฟท์ รัชน์ มองโลกแคบ (ตาตี๋55) มาแบบมืดๆ ชอบเอาทุเรียนกวนมาให้เพื่อนกิน555
เนส แลกก่อนหัวฟู ตัวเตี้ยๆ เรียกน้ำโค้กว่าน้ำโคก หัวเราะทีลั่นห้องแข่งกับทิพย์ เอาคลิปที่ตัวเองหัวเราะมาให้เพื่อนฟังด้วย55 รั่วๆเวลาจิงจังจะทำเหมือนอิร้อง - -*
น้ำว้า ฉายาด้อกเตอร์ ชอบพูดแบบมีหลักการมือไม้ไปเวลาลุกขึ้นตอบมักจะทำเหมือนอยู่ในสภา-0 จะเครียดไปไหนครับพี่ครับ
กระถิน มาโนดบอกว่าอยู่เหมือนปอบ555 ชอบพูดเสียงดังเวลาพูดชอบผึ่งตา555
เป๊ก หัวฟูๆรั่วๆอยู่กับอีฟ>>บอกเพื่อ?55 ชอบรบกับอิโนด และตุ๊บตั๊บ- -*
น้องงา(แป้ง)ฉบัน หมี เพื่อนๆชอบแกล้ง หนัก86 โดนเดกม.2ล้อว่าพรานโก๊ะเจอหมี5555 รบกับอิโนดบ่อยๆ เวลาอยากได้อะไรจะทำตัวแอ๊บแบ๊ว ดีเกินเหตุ 55 บ้านอยู่สะพานเหล็ก ที่บ้านขายลูกเป็ด หัวเราะทีลั่นห้อง นั่งเรียนข้างน้องหง่ะ ตบ ด่า หัวเราะกันทุกวัน ชอบพาหนมมากิน ช๊อคโกแลต ตราฉบัน แซนด์วิชตราฉบัน 55 ตอนเที่ยงไม่เคยซื้อข้าวกินเอง ฝากแตงโมตลอด ขี้บ่น งอแง น่ารัก อิอิ
รุ้ง อ้ายพิณ55 แอบชอบรุ่นพี่ มือๆใส่แว่น55
แตงโม ตุ๊กกี้ มักบอกว่าตัวเองคือซอฮยอน- -* จิงๆคือโซ่หย่อน55บ้าsnsd เวลาหัวเราะเหมือนเยาะเย้ย-0-ทะเลาะกับเพื่อนในกลุ่มบ่อยๆขี้งอน ขี้น้อยใจ
แตง สุริ ขาวๆบ้านอยู่นาทวี อาศัยอยู่บุปผาอพาทเม้น555เรียนเก่ง เรียบร้อย ลามกหน่อยๆ55 เวลาเฮฮารั่วมากๆ
เม พุงล่อ ลิ้งลิงปาจิงโก๊ะ ลูกพี่ของโหมชาย เมื่อก่อนใส่แว่น หน้ามันผมแสกกลาง บ้านอยู่สอ.ป.จ.บ. ใส่คอนแทค แอ๊บแบ๊ว เล่นคอมดึก เมื่อก่อนเรียบร้อย ปจ.บ.โคดบ้า ติงต๋อง รั่ว มักจะบ่นว่าขี้ไม่ออกบ่อยๆเปลี่ยนสีเหล็กทุกเดือน(แล้วใครจะเปลียนทุก2ปีว่ะ- -*)55
หะ ฉายา น้องหง่ะ จานโบ ผู้ก่อตั้งทัพหลวง ติงต๋อง อารมดีเกินเหตุ55 ชอบชักชวนให้เพื่อนๆโดดเรียน -0-
กาว ตัวเล็กๆ น่ารัก หลานตาจ้วน55 รั่วๆขี้อาย เวลาพูดจะก้มหน้า>>หาไส้เดือนกิน55 ชอบซอยผม ถ่ายรูปขึ้น น่ารักๆ ชอบตด ชอบเรอ โหยะเรยๆ55 ไม่รู้อยู่กลุ่มหัวหน้าได้ไง อ้อร้อแต่เพื่อน55 :p แบร่ๆ
เบ้นท์ ขาวมาก ด่าเจ็บ T T เวลารั่วก้เส้นตื้นนิ555
ขวัญ อยู่เงียบๆเรียนเก่งเวลาดีใจขึ้นมาจะกรี๊ดลั่นห้อง ทำไรไม่ค่อยแคร์55
ออนซุมาด ฉายาหูด ชะม้อย ชักชวนเพื่อนๆเล่นแชร์ แหลงมากได้ทั้งวันเวลาด่าไม่ค่อยนึกถึงเพื่อน ปากไว เวลาใครด่าจะทำหน้างอ55
อีฟ เดินตลก ชอบหลับในรถสองแถว55 บ้าเก ชอบผช.มีซิกแพค เวลาหื่นจะหน้ากลัว55 เวลาด่าใครจะด่าเป็นภาษาใต้ โคดฮา รั่วมาก อย่าไปยุ่งเวลามันอ่านนิยายเก555
เฟิน เด็กใหม่ ฉายาลิงเผือก โคดขาว เด็กจีบเยอะ 55 มาที่แรกเพื่อนไม่ชอบ (กูกันๆ55) ให้เพื่อนเต็มร้อย น่ารัก รั่วๆ ชอบเม่ ฉาว55 ฮาๆบ้าๆ55
จบแร้วววว สนุกมั้ย ต่อไปทุกคนก้แยกย้ายกันไปตามชีวิดที่เลือกเดิน เลือกวิ่งก้ได้ไม่ว่ากัน555 ขอให้ทุกคนโชคดี โปรดจดจำวันเวลาดีๆที่เราอยู่ด้วยกัน ขอบคุนทุกคนมาก ทุกคนเปนเพื่อนที่ดี ทั้งทุกข์และสุขที่เคยพบเจอ ขอบคุณทุกๆสิ่งที่พาให้เราได้มาเจอกัน รักเพื่อนทุกคนมากน่ะ ^___________^
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)